ท้าวสุรนารี
ท้าวสุรนารี มีนามเดิมว่า "โม" (แปลว่า ใหญ่มาก)หรือ ท้าวมะโหโรง เป็นชาวเมืองนครราชสีมาโดยกำเนิด เกิดเมื่อปีระกาพ.ศ. 2314 ท่านเป็นคนที่งามพร้อม กิริยา มารยาท อ่อนหวานแต่ก็ซุกซนด้วย ชอบเล่นฟันดาบ กระบี่ กระบอง มาตั้งแต่เด็ก พอโตเป็นสาว อายุประมาณ 25 ปี ก็ได้แต่งงานกับปลัดทองคำหรือพระยาสุรเดชาเดชฤทธิทศทิศวิชัย
สมัยต่อมามีเหตุการณ์เกิดขึ้นในประเทศหลายอย่าง จนมาถึงสมัยรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอย่หัว ได้ทรงโปรดให้ทรงจัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระราชบิดาคือ รัชกาลที่ 2 บรรดาเจ้าเมืองประเทศราชหรือผู้แทนจะต้องเดินทางมาถวายบังคมพระบรมศพ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพและในครั้งนั้น เจ้าอนุวงค์ (เจ้าเมืองเวียงจันทร์) ได้เดินทางมาถวายพระเพลิง พระบรมศพด้วยตนเอง พร้อมผู้ติดตามอีกมากมาย ในขณะ ที่พำนักอยู่ใน กรุงเทพฯนั้น พระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ทรงขอแรงให้ไพล่พลของเจ้าอนุวงค์ ให้ไปช่วยตัดไม่ต้นตาลที่เมือง สุพรรณบุรี ไม่จำกัดจำนวนเสร็จแล้วให้ลากเข็นมาที่ สมุทรปราการ น้องชายของเจ้าอนุวงค์ได้ทำตามรบสั่งจนสำเร็จ จนทำให้ เจ้าอนุวงค์ทะนงตัวว่าเป็นคนโปรดของพระเจ้าอยู่หัว และเคยช่วยทำศึกกับพม่าที่เมืองเชียงแสน 2362 ถึง 2 ครั้ง และปราบพวกกบฎข่าที่เมืองจำปาศักดิ์ ตอน จะทูลลากลับ หน้าพระที่นั่ง เจ้าอนุวงค์ได้ทูลขอครอบครัวชาวเวียงจันทร์ ที่เคยเป็นเชลยสมัยพระเจ้ากรุงธนฯ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้า อยู่หัวไม่ประทานเนื่องจากทรงเห็นชาวลาวมาตั้งหลักแหล่งดีแล้ว ถ้ากลับไปจะไปก่อตั้งเป็นปึกแผ่นละก่อเหตุให้เดือดร้อนอีกในเมืองไทย เจ้าอนุวงค์ไม่พอใจมาก กลับไปเวียงจันทร์วางแผนจะมายึดกรุงเทพฯ แต่ทำศึกที่โคราชก่อน ตอนนั้นที่ นครราชสีมา พระยาปลัดทองคำสามีของย่าโมและเจ้าเมืองไม่อยู่ ไปราชการที่เขมร ย่าโมอยุ่ที่เมืองโคราช เจ้าอนุวงค์บุกจับไปเป็นเชลย พร้อมครอบครัวชาวเมืองอีก 600 ครอบครัว ช้างอีก 70 เชื่อก เมื่อเดินทางไปถึงทุ่งสัมฤทธิ์ ย่าโมได้วางแผนต่างๆ จนทหารลาวยอมให้พัก ย่าโมวางแผนให้ ผู้หญิงผู้ชาย ชาวเมืองโคราชทำให้ทหารลาวตายใจ และได้ทำการฆ่าทหารลาว และต่อสู้กันอุตลุต จนสามารถเอาชนะฝ่ายทหารลาวได้ แต่ก็ต้องเสียนางสาวบุญเหลือหลานของย่าโม ซึ่งได้พลีชีพ พร้อมกับระเบิดกองเกวียนกระสุนดินดำของลาวจนแสงเพลิงแดงฉานทั่วท้องทุ่งสัมฤทธิ์ หลังจากนั้นทหารลาวก็ถูกตามทำศึกจากไทย จนชนะ และต่อมาเจ้าอนุวงค์ก็โดนจับไปทำโทษที่กรุงเทพฯและได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 จึงแต่งตั้งย่าโมให้เป็น ท้าวสุรนารี ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ท่านย่าโมได้ถึงแกอสัญกรรมในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4 ) เมื่อวันที่ 5 ปีชวด จศ.1214 (เมษายน 2395) ตอนนี้อัฐิของท่านย้ายมาบรรจุไว้ในฐานรอบรับใหม่ ณ. หน้าประตูชุมพล จนถึงทุกวันนี้
สมัยต่อมามีเหตุการณ์เกิดขึ้นในประเทศหลายอย่าง จนมาถึงสมัยรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอย่หัว ได้ทรงโปรดให้ทรงจัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระราชบิดาคือ รัชกาลที่ 2 บรรดาเจ้าเมืองประเทศราชหรือผู้แทนจะต้องเดินทางมาถวายบังคมพระบรมศพ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพและในครั้งนั้น เจ้าอนุวงค์ (เจ้าเมืองเวียงจันทร์) ได้เดินทางมาถวายพระเพลิง พระบรมศพด้วยตนเอง พร้อมผู้ติดตามอีกมากมาย ในขณะ ที่พำนักอยู่ใน กรุงเทพฯนั้น พระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ทรงขอแรงให้ไพล่พลของเจ้าอนุวงค์ ให้ไปช่วยตัดไม่ต้นตาลที่เมือง สุพรรณบุรี ไม่จำกัดจำนวนเสร็จแล้วให้ลากเข็นมาที่ สมุทรปราการ น้องชายของเจ้าอนุวงค์ได้ทำตามรบสั่งจนสำเร็จ จนทำให้ เจ้าอนุวงค์ทะนงตัวว่าเป็นคนโปรดของพระเจ้าอยู่หัว และเคยช่วยทำศึกกับพม่าที่เมืองเชียงแสน 2362 ถึง 2 ครั้ง และปราบพวกกบฎข่าที่เมืองจำปาศักดิ์ ตอน จะทูลลากลับ หน้าพระที่นั่ง เจ้าอนุวงค์ได้ทูลขอครอบครัวชาวเวียงจันทร์ ที่เคยเป็นเชลยสมัยพระเจ้ากรุงธนฯ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้า อยู่หัวไม่ประทานเนื่องจากทรงเห็นชาวลาวมาตั้งหลักแหล่งดีแล้ว ถ้ากลับไปจะไปก่อตั้งเป็นปึกแผ่นละก่อเหตุให้เดือดร้อนอีกในเมืองไทย เจ้าอนุวงค์ไม่พอใจมาก กลับไปเวียงจันทร์วางแผนจะมายึดกรุงเทพฯ แต่ทำศึกที่โคราชก่อน ตอนนั้นที่ นครราชสีมา พระยาปลัดทองคำสามีของย่าโมและเจ้าเมืองไม่อยู่ ไปราชการที่เขมร ย่าโมอยุ่ที่เมืองโคราช เจ้าอนุวงค์บุกจับไปเป็นเชลย พร้อมครอบครัวชาวเมืองอีก 600 ครอบครัว ช้างอีก 70 เชื่อก เมื่อเดินทางไปถึงทุ่งสัมฤทธิ์ ย่าโมได้วางแผนต่างๆ จนทหารลาวยอมให้พัก ย่าโมวางแผนให้ ผู้หญิงผู้ชาย ชาวเมืองโคราชทำให้ทหารลาวตายใจ และได้ทำการฆ่าทหารลาว และต่อสู้กันอุตลุต จนสามารถเอาชนะฝ่ายทหารลาวได้ แต่ก็ต้องเสียนางสาวบุญเหลือหลานของย่าโม ซึ่งได้พลีชีพ พร้อมกับระเบิดกองเกวียนกระสุนดินดำของลาวจนแสงเพลิงแดงฉานทั่วท้องทุ่งสัมฤทธิ์ หลังจากนั้นทหารลาวก็ถูกตามทำศึกจากไทย จนชนะ และต่อมาเจ้าอนุวงค์ก็โดนจับไปทำโทษที่กรุงเทพฯและได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 จึงแต่งตั้งย่าโมให้เป็น ท้าวสุรนารี ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ท่านย่าโมได้ถึงแกอสัญกรรมในสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4 ) เมื่อวันที่ 5 ปีชวด จศ.1214 (เมษายน 2395) ตอนนี้อัฐิของท่านย้ายมาบรรจุไว้ในฐานรอบรับใหม่ ณ. หน้าประตูชุมพล จนถึงทุกวันนี้